วันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2560

VDOลักษณะของเรือสำราญ

งานวิจัยที่แปลแล้ว


Cruise tourism environmental impacts – The perspective from the Adriatic Sea

(ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการท่องเที่ยวล่องเรือ - มุมมองจากทะเลอาเดรียติค)

การท่องเที่ยวล่องเรือสำราญเป็นธุรกิจหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เนื่องจากมีการเดินทางท่องเที่ยวไปอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆเสมอ และเป็นธุรกิจที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับประเทศที่กำลังพัฒนาที่ต้องการเพิ่มรายได้จากต่างประเทศ และธุรกิจล่องเรือสำราญนี้ก็ได้ส่งผลกระทบมากมายต่อสภาพแวดล้อม เช่น น้ำดำ น้ำสีเทา ขยะมูลฝอย ของเสียอันตราย น้ำมันรั่ว น้ำในอับเฉาเรือ และมลพิษทางอากาศ แต่ถึงอย่างไรก็ตามในยุคปัจจุบันนี้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวด้านการล่องเรือสำราญก็ยังเป็นที่นิยมของคนทั่งโลกและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
น้ำดำ  เป็นสิ่งปฏิกูลจากห้องน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวกทางการแพทย์ซึ่งมีเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อลำไส้  การปล่อยน้ำเสียที่ไม่ผ่านการบำบัดหรือได้รับการบำบัดไม่เพียงพออาจทำให้เกิดการปนเปื้อนของแบคทีเรียและไวรัสสามารถนำไปสู่การทำลายสิ่งมีชีวิตในน้ำได้
น้ำสีเทา  คือน้ำเสียจากอ่างล้างมือ ห้องอาบน้ำ ห้องซักรีด และน้ำที่มาจากการทำความสะอาดเรือ ซึ่งน้ำเหล่านี้มีสารพิษรวมทั้งแบคทีเรียโคลิฟอร์ม สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่พึงประสงค์เนื่องจากความเข้มข้นของเคมีที่ถูกปล่อยลงสู่ทะเล
ขยะมูลฝอย ได้แก่  แก้ว กระดาษ กระดาษแข็ง อลูมิเนียม กระป๋องเหล็ก และพลาสติก ซึ่งขยะเหล่านี้มีอันตรายและไม่มีอันตรายต่อธรรมชาติ โดยขยะมูลฝอยเหล่านี้อาจเป็นภัยคุกคามต่อสิ่งมีชีวิตทางทะเล ชุมชนชายฝั่งทะเล และอุตสาหกรรมที่ใช้น่านน้ำทะเล  
ของเสียอันตราย  เกิดจากการทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆบนเรือ รวมถึงการทิ้งสารเคมี แบตเตอรี่ทางการแพทย์ หลอดฟลูออเรสเซนต์ สีที่ใช้แล้วและทินเนอร์ เป็นต้น
น้ำมันรั่ว  คราบน้ำมันยังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ประมงและการเพาะลี้ยงชายฝั่ง เช่น สัตว์น้ำตายจากคราบน้ำมัน ขาดออกซิเจน ชายหาดสกปรกจากคราบน้ำมัน ทำลายทัศนียภาพ มีกลิ่นเหม็น ไม่เหมาะกับการท่องเที่ยวและพักผ่อน ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจในชุมชนท้องถิ่นและระดับประเทศซึ่งความรุนแรงของผลกระทบจากน้ำมันรั่วไหลขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งชนิดของน้ำมัน ปริมาณที่รั่วไหล กระแสน้ำ กระแสลม เป็นต้น
น้ำในอับเฉาเรือ น้ำในอับเฉาเรือหรือน้ำที่ติดมากับเรือเดินทางอาจเป็นที่สะสมของสิ่งมีชีวิตในน้ำนับล้านล้านชีวิต เมื่อน้ำถูกเปลี่ยนถ่ายลงสู่ทะเลหรือท่าเรือที่มีสภาวะแวดล้อมต่างกันจะเกิดปัญหาเชื้อโรคตามมาทำให้สิ่งมีชีวิตจากที่หนึ่งปนเปื้อนสู่อีกที่หนึ่งและผลเสียที่เกิดขึ้นคือสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์จะปะปนเข้าสู่สิ่งแวดล้อมใหม่และจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ให้โทษแก่สิ่งมีชีวิตประจำถิ่นหรืออาจจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ได้
มลพิษทางอากาศ  เกิดจากการเผาผลาญของเครื่องยนต์และได้ปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์และไฮโดรคาร์บอนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ตลอดจนผลกระทบด้านสุขภาพที่ไม่พึงประสงค์เนื่องจากสารพิษเหล่านี้เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ และนอกจากนี้ยังส่งผลกระทบทางด้านทัศนะวิสัยการมองเห็นอีก
ดังนั้นการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดจากการล่องเรือสำราญต้องอาศัยการร่วมมือจากหลายหน่วยงานเพื่อสามารถดำเนินการบรรเทาผลกระทบและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยควบคุมและแก้ปัญหาการลักลอบปล่อยทิ้งของเสียจากเรือ และสร้างความตระหนักให้ผู้ประกอบการมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม










ธุรกิจเรือสำราญ



การเดินทางทางเรือนั้นได้มีบทบาทสำคัญมาตั้งแต่สมัยอียิปต์ โรมัน และกรีก และได้มีการปรับปรุงด้านรูปทรงและความเร็วขึ้น โดยยุคแรกจุดประสงค์ของการเดินทางเพื่อการค้าไม่ใช่เพื่อการโดยสาร หลังจากนั้นประมาณศตวรรษที่ 20 มีการพัฒนาเรือให้มีการเดินทางในระยะไกลมากขึ้น เรือก็จะเป็นแบบเรือบรรทุกขนาดใหญ่ และในขณะเดียวกันเส้นทางเดินเรือมีการเปิดกว้างมากขึ้นไป และหลังจากนั้นก็มีการเติบโตขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้มีการแข่งขันกันมากขึ้น และธุรกิจต่างๆก็ได้มีการพัฒนาปรับปรุงและพัฒนาในแง่ของโครงสร้างเรือ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆตลอดจนรูปแบบการท่องเที่ยวที่หลากหลายมากขึ้นเพื่อดึงดูดลูกค้าอย่างเช่นปัจจุบัน

ประวัติเรือสำราญ

ลักษณะของเรือสำราญ


เรือสำราญ เป็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรือที่เหมาะสำหรับการเดินทางของคู่รัก เพราะบรรยากาศที่มีกลิ่นอายโรแมนติก หรือสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางแบบตื่นเต้น ผจญภัย เรือสำราญสามารถเป็นตัวเลือกที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกเพศทุกวัย สำหรับการเดินทางเพื่อความโรแมนติก เกิดขึ้นตั้งแต่ปี ค..1920 ซึ่งเป็นการเดินทางขอลกลุ่มคนที่มีฐานะร่ำรวยเป็นหลัก ต่อมาในปี ค..1960 นักเดินทางได้ขยายมาเป็นกลุ่มคนทั่วไปมากขึ้น เพราะบริษัทต่างๆที่ทำธุรกิจเรือสำราญได้พยายามปรับปรุง เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น เพราะนักท่องเที่ยวเดินทางทางเรือสำราญกันน้อยลง เนื่องมาจากการพัฒนาด้านการขนส่งทางอากาศ ที่มีความสะดวกสบายกว่าและก็มีการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาต่อมา


ประเภทของเรือสำราญ

รูปแบบการท่องเที่ยวทางเรือ เป็นแรงจูงใจอีกประเภทที่นักท่องเที่ยวบางกลุ่มชื่นชอบเป็นอย่างมาก ธุรกิจการท่องเที่ยวทางเรือจึงสามารถที่จะตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้อย่างหลากหลาย โดยแบ่งประเภทของเรือสำราญ ดังนี้
1.       World Cruise

การเดินเรือประเภทนี้จะเป็นการท่องเที่ยวรอบโลก เป็นการพักผ่อนสำหรับผู้ที่มีเวลา และความสามารถที่จะเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากได้ การบริการจะเป็นแบบส่วนตัว ชั้นหนึ่ง อาหารอย่างดี ค่าใช้จ่ายของการเดินทางประเภทนี้จะตกอยู่ประมาณ 1 ล้านบาท ถึง 6 ล้านบาท เป็นราคาสำหรับการเดินทางด้วยเรือ Queen Elizabeth 2 ด้วยเหตุที่ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวสูงมาก ทำให้ตลาดการท่องเที่ยวทางเรือรูปแบบนี้ค่อนข้างจำกัด

2.       Theme Cruise / Special-interest Cruise

การเดินทางประเภทนี้ ผู้ประกอบการต่างๆ พยายามที่จะมีการสร้างสรรค์กิจกรรมที่เป็นความสนใจเฉพาะ เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวที่แตกต่างกันไป แบ่งได้เป็นหลายประเภท ได้แก่

-          เพื่อการสันทนาการพักผ่อน เช่น กีฬา เกมส์

-          เพื่อความบันเทิง เช่น กิจกรรมดนตรี โอเปร่า การแสดงละครและภาพยนตร์

-          เพื่อการศึกษา

-          เพื่อมุ่งเน้นด้านสุขภาพ เช่น การออกกำลังกาย

-          เพื่อมุ่งเน้นกิจกรรมที่เป็นงานอดิเรก

นอกจากนี้ยังมีอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งบางบริษัทที่ขนาดเล็ก จะจัดกิจกรรมการเดินทางเพื่อการผจญภัย และเป็นแบบวิชาการเสริมความรู้ สำหรับนักท่องเที่ยวที่เป็นนักวิชาการ หรือนักเรียน นักศึกษา เพื่อที่จะศึกษาประวัติศาสตร์ สัตววิทยา พฤกษศาสตร์ โบราณคดี มนุษยวิทยา เป็นต้น

3.       Freighter Cruise

เรือประเภทนี้เป็นเรือบรรทุกสินค้า ที่จัดบริการที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวที่ถือว่าเป็นอีกทางเลือกของนักเดินทางที่ต้องการหลีกหนีจากความวุ่นวายจากเส้นทางเดินเรือโดยทั่วไป แต่จะมีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว เพราะหากนักท่องเที่ยวมีเป็นจำนวนมากเกินไป จะต้องมีการจัดแพทย์ประจำเรือส่วนมากจะไม่เกิน 12 คนเท่านั้น ส่วนลักษณะของที่พักที่จัดไว้สำหรับบริการ จะมีลักษณะที่คล้ายกับเรือสำราญทั่วๆไป ส่วนในเรื่องของราคานั้นจะอยู่ในระดับปานกลาง ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกหรือความบันเทิงต่างๆ จะจัดให้เท่าที่สามารถทำได้ เพราะจุดประสงค์ก็เพื่อตอบสนองนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการผจญภัย ดังนั้นจะไม่เน้นความสะดวกสบายเท่าใดนัก

4.       River Cruise

สำหรับเรือประเภทนี้ก็มีลักษณะทั่วๆไปที่คล้ายกับเรือที่กล่าวมาข้างต้น นั่นคือจะเป็นการนำนักท่องเที่ยวไปชื่นชมกับบรรยากาศของเรือที่กำลังแล่นผ่านเส้นทางน้ำต่างๆ ที่ต่างๆ ระหว่างการเดินทางบรรยากาศจะเงียบสงบ ปราศจากสิ่งรบกวน

5.       Yacht Charter

สำหรับการเดินทางประเภทนี้ จะเดินทางด้วยเรือยอร์ช เป็นเรือที่ไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวเช่าเพื่อเดินทางท่องเที่ยวได้ตามความต้องการ ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 ประเภทด้วยกัน

ประเภทแรก กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เช่าเรือจะเป็นผู้กำหนดเส้นทางเดินเรือด้วยตนเอง ไม่มีลูกเรือประจำบนเรือ นักท่องเที่ยวจะเป็นผู้ที่เคยมีประสบการณ์เป็นลูกเรือหรือทหารเรือมาก่อน

ประเภทที่สอง นักท่องเที่ยวจะเช่าเพื่อเดินทางเป็นกลุ่ม และจะตัดสินใจเลือกเส้นทางการเดินเรือด้วยตนเอง แต่จะมีลูกเรือเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่บนเรือ

6.       Point-to-Point Crossing

เรือประเภทนี้รู้จักในนาม เรือข้ามฟาก เพื่อบริการแก่นักเดินทางที่ต้องการเดินทางระยะไกล แต่ในขณะเดียวกันนั้นการเดินทางโดยเครื่องบินก็มีความสะดวกและรวดเร็วกว่าการเดินทางทางเรือ แต่ข้อได้เปรียบของเรือก็มีเช่นกัน นั่นคือ

-          เป็นการตอบสนองแก่นักเดินทางที่ไม่ชอบการเดินทางด้วยเครื่องบิน

-          ผู้โดยสารสามารถที่จะขนสัมภาระสิ่งของได้มากกว่าทางเครื่องบิน

-          ถ้านักเดินทางมีสิ่งของที่มีขนาดใหญ่ การเดินทางทางทะเลระยะไกล สิ่งสำคัญคือนักท่องเที่ยวต้องมีการวางแผนเรื่องเวลาด้วย เนื่องจากการเดินทางอาจล่าช้ากว่ากำหนดได้

-          ข้อได้เปรียบในเรื่องของค่าใช้จ่ายที่ประหยัด


แหล่งอ้างอิง : พชรมน วิภาตนาวิน. (2558). ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้บริการเรือสำราญทานอาหารค่ำชมทัศนียภาพริมแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพมหานคร. คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากร. ค้นเมื่อ 29 มีนาคม 2560, จาก http://www.info.ms.su.ac.th/sums02/PDF01/2558/GB/48.pdf

VDOตัวอย่างเกี่ยวกับประเภท